วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เศรษฐศาสตร์จุลภาค

เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) คืออะไร ?

เศรษฐศาตร์จุลภาค คำว่า จุล หรือ micro แปลว่า เล็กหรือส่วนย่อย
เศรษฐศาสตร์จุลภาค จึงเป็นการศึกษาถึงกลไกที่ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรแต่ละอย่าง แต่ละกิจกรรมของหน่วยเศรษฐกิจในสังคมมนุษย์ เศรษฐศาสตร์จุลภาคจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องการผลิต การบริโภค สินค้าและบริการ และการจำแนกแจกจ่ายของแต่ละคน แต่ละกิจการ แต่ละอุตสาหกรรม และแต่ละตลาด
เนื่องจากในปัจจุบันนี้ทรัพยากรบนโลกมีอยู่อย่างจำกัด โดยที่ความต้องการของมนุษย์มีอยู่อย่างไม่จำกัด ทุกๆสังคมไม่ว่าจะเป็นสังคมแบบดั้งเดิมในยุดแรกๆที่ไม่มีความเจริญ หรือสังคมทันสมัยที่มีความเจริญ ต่างก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจพื้นฐานเหมือนกัน
             ปัญหาเศรษฐกิจ ได้แก่
  1. จะผลิตอะไร (what) ให้ตรงกับความต้องการของสังคมมากที่สุด โดยดูจากราคาและบริการของสินค้านั้นๆเป็นหลัก หากสินค้าและบริการใดมีคนต้องการมาก ราคาก็จะสูง แต่หากสินค้าและบริการใดไม่มีคนต้องการ ราคาก็จะต่ำตามกลไกตลาด เมื่อผู้ผลิตทราบถึงความต้องการของสินค้าและบริการแล้ว ก็จะมาคำนึงถึงต้นทุนของการผลิตว่าสามารถทำกำไรได้หรือจะขาดทุน
  2. จะผลิตอย่างไร (how) ผู้ผลิตส่วนใหญ่ต้องการผลกำไรของตนเองสูงสุด ซึ่งดูได้จากราคาขายสินค้าและบริการและราคาปัจจัยการผลิต ดังนั้นจึงต้องคำนึงว่าจะผลิตอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด โดยลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำที่สุด และได้ผลผลิตจำนวนมาก
  3. จะผลิตเพื่อใคร (for whom) วิเคราะห์ถึงเป้าหมายของกลุ่มลูกค้า จะมีราคาเป็นเกณฑ์ในการจัดสรรสินค้าและทรัพยากร คือ ผู้ที่มีรายได้มากย่อมมีอำนาจในการซื้อสินค้าและบริการมาก ภายใต้ขีดจำกัดของทรัพยากรทำให้ไม่สามารถสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคและ ผู้ผลิตได้ทั้งหมด แต่หากมีคนต้องการมาก ราคาของนั้นๆก็จะสูงขึ้น จนกระทั่งความต้องการซื้อตรงกับความต้องการขาย ทำให้ของนั้นๆถูกจัดสรรไปยังผู้ที่ต้องการและมีรายได้พอที่จะซื้อสินค้า นั้นๆ
ปัญหาทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นปัญหาที่แต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศ มีวิธีแก้ไขปัญหาที่ต่างกันออกไป ตามลักษณะของระบบเศรษฐกิจของแต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศ
ระบบเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 3 ระบบ
1. ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม/ทุนนิยม ระบบนี้ให้สิทธิ์เสรีภาพกับเอกชนในการดำเนินธุรกิจ โดยภาครัฐไม่เข้ามาแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจเลย โดยใช้กลไกตลาดเป็นเครื่องมือในการตัดสินปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
  • ข้อดี :   ระบบนี้เป็นการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด  ระบบนี้จะขยายตัวเร็ว เพราะทุกคนสามารถเข้ามาในตลาดได้ เกิดการแข่งขันกัน และมีการซื้อ-ขายกันมากมาย
  • ข้อเสีย :   คนที่มีทรัพย์/ปัจจัยการผลิตมาก อาจหาผลประโยชน์โดยเอาเปรียบคู่แข่งขันหรือผู้บริโภคได้ ทำให้เกิดผลเสียด้านการกระจายรายได้และการจัดสรรทรัพยากร
2. ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เป็นระบบที่รัฐบาลเข้ามาวางแผน จัดสรรทรัพยากร และความเป็นเจ้าของสินทรัพย์และกิจการที่สำคัญทั้งหมดภายในประเทศ โดยให้เอกชนเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ
  • ข้อดี :   ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ทำอะไรเหมือนๆกัน และได้ผลประโยชน์เท่าๆกัน
  • ข้อเสีย :   ขาดเสรีภาพและแรงกระตุ้นในการทำธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจนั้นๆโตช้า เพราะถึงทำไปก็ได้ประโยชน์เท่ากัน จึงทำให้ไม่มีใครมีความฝัน
3. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (ผสมระหว่างเสรีนิยมกับสังคมนิยม) ให้สิทธิ์เอกชนทำเป็นส่วนใหญ่ โดยรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเพียงบางอย่าง เป็นธุรกิจที่เอกชนไม่อยากทำ ไม่อยากลงทุน เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความปลอดภัยภายในประเทศ หรือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เหมืองแร่น้ำมัน สาธารณูปโภคที่จำเป็นกับประชาชน โดยประเทศส่วนมากจะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบผสม ประเทศที่โตเร็วจะเอียงเอนไปทางเสรีนิยมมากกว่าสังคมนิยม เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น
ในระบบเศรษฐกิจต่างๆจะประกอบด้วยหน่วยเศรษฐกิจย่อยๆ ซึ่ง
หน่วยเศรษฐกิจที่สำคัญ แบ่งเป็น 3 หน่วย
  1. หน่วยครัวเรือน มีหน้าที่  ขายปัจจัยการผลิตให้แก่หน่วยธุรกิจ ซื้อสินค้าและบริการจากหน่วยธุรกิจ
  2. หน่วยธุรกิจ มีหน้าที่ ซื้อปัจจัยการผลิตจากครัวเรือน ขายสินค้าและบริการให้แก่ครัวเรือนและครัวเรือน
  3. รัฐบาล มีหน้าที่   ปกครองและบริหารประเทศให้คนในประเทศมีความสุข โดยนำเงินภาษีมาใช้ในการบริหาร ประเทศ ซึ่งภาษีนี้ก็มาจากการเก็บจากหน่วยครัวเรือนและหน่วยธุรกิจ
ในที่นี้จะแสดงแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยครัวเรือนและหน่วยธุรกิจ โดยตัดภาครัฐบาลออกเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
จุลภาค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น